top of page

ระบบบริการปฐมภูมิ (Primary Health Care) ในประเทศไทย

Writer: MaytaMayta

ระบบบริการปฐมภูมิถือเป็นรากฐานสำคัญของระบบสาธารณสุขในประเทศไทย มีบทบาทในการดูแลสุขภาพขั้นต้นให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและชุมชนห่างไกล การออกแบบและการจัดการระบบบริการปฐมภูมิในประเทศไทยเป็นไปตามหลักการที่เน้นการเข้าถึงที่ง่ายและครอบคลุมทุกด้านของสุขภาพ บทความนี้จะนำเสนอรายละเอียดของระบบบริการปฐมภูมิตามมาตรฐานและแนวทางการจัดบริการที่กำหนดไว้


 

1. ความหมายและวัตถุประสงค์ของระบบบริการปฐมภูมิ

ระบบบริการปฐมภูมิ หมายถึง การดูแลสุขภาพในระดับชุมชนหรือหน่วยบริการพื้นฐาน ที่ให้บริการประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายหลักในการสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค รักษาพยาบาลเบื้องต้น และฟื้นฟูสภาพร่างกาย โดยวัตถุประสงค์หลักของระบบนี้คือการส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพดี ลดอัตราการป่วยและเสียชีวิต และลดความแออัดในโรงพยาบาลระดับสูงขึ้น โดยเน้นการทำงานร่วมกันระหว่างชุมชนและสถานบริการปฐมภูมิ


 

2. คุณลักษณะของระบบบริการปฐมภูมิตามหลัก 5C

คุณลักษณะของระบบบริการปฐมภูมิที่มีประสิทธิภาพควรมีองค์ประกอบตามหลัก 5C ได้แก่:

  1. Contact Point (จุดติดต่อแรก): เป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าถึงบริการสุขภาพที่ง่าย สะดวก และไม่ซับซ้อน โดยประชาชนสามารถเข้ารับบริการปฐมภูมิได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านระบบการส่งต่อ เป็นที่พึ่งในการตรวจรักษาเบื้องต้น และช่วยคัดกรองปัญหาสุขภาพในเบื้องต้นก่อนที่จะส่งต่อไปยังโรงพยาบาลขนาดใหญ่

  2. Continuous (การดูแลต่อเนื่อง): ระบบบริการปฐมภูมิเน้นการดูแลสุขภาพที่สม่ำเสมอและต่อเนื่อง มีการติดตามผลการรักษาและการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง และมีการประเมินและติดตามการดูแลด้านสุขภาพของประชาชนในระยะยาว ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการเจ็บป่วยซ้ำ และเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชนในระยะยาว

  3. Comprehensive (การดูแลครบวงจร): ครอบคลุมทุกด้านของสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันโรค การดูแลสุขภาพทั่วไป การรักษาโรคเบื้องต้น การส่งเสริมสุขภาพ รวมไปถึงการฟื้นฟูสุขภาพหลังการรักษา เป็นการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร เพื่อให้ประชาชนได้รับการดูแลทุกมิติของสุขภาพอย่างเหมาะสม

  4. Coordination (การประสานงาน): หน่วยบริการปฐมภูมิต้องมีการเชื่อมโยงและประสานงานกับโรงพยาบาลหรือหน่วยงานด้านสุขภาพอื่น ๆ ในทุกระดับอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนได้รับการดูแลที่ต่อเนื่องและครบถ้วน ทั้งยังช่วยให้การส่งต่อผู้ป่วยเป็นไปอย่างรวดเร็วและไม่มีการขาดช่วง

  5. Community Participation (การมีส่วนร่วมของชุมชน): ชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพเพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง ส่งเสริมให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการจัดการสุขภาพ มีบทบาทในการส่งเสริมการดูแลสุขภาพที่ยั่งยืน


 

3. มาตรฐานการจัดระบบบริการปฐมภูมิในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (PCU)

โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (Primary Care Unit หรือ PCU) เป็นหน่วยบริการที่สำคัญของระบบปฐมภูมิในประเทศไทย โดยมาตรฐานของ PCU ได้รับการออกแบบให้ครอบคลุมถึงทุกด้านของการดูแลสุขภาพในชุมชน ดังนี้:

3.1 ขนาดและพื้นที่การให้บริการ

  • ขนาดการให้บริการ: หน่วยบริการปฐมภูมิแต่ละแห่งควรมีขนาดการให้บริการครอบคลุมประชากรไม่เกิน 10,000 คน เพื่อให้การบริการเข้าถึงได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ

  • ระยะเวลาการเดินทาง: ควรตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ประชาชนสามารถเดินทางมารับบริการได้ภายในเวลา 30 นาที

3.2 มาตรฐานการให้บริการ

  • การให้บริการด้านการรักษา ฟื้นฟู ส่งเสริมสุขภาพ และป้องกันโรค:

    • มีการให้บริการดูแลสุขภาพแก่ประชาชน เช่น การดูแลหญิงตั้งครรภ์ การวางแผนครอบครัว การดูแลเด็ก (1-8 ครั้งต่อเดือน) และการเยี่ยมบ้านเพื่อให้ความรู้และติดตามสุขภาพ (ประมาณ 10-15 ชั่วโมงต่อสัปดาห์)

    • บริการทันตกรรม: จัดให้มีบริการด้านทันตกรรมอย่างน้อย 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพื่อให้ประชาชนได้รับการดูแลสุขภาพช่องปากที่มีคุณภาพและเข้าถึงได้ง่าย

    • เวลาเปิดให้บริการ: โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลควรเปิดให้บริการอย่างน้อย 56 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพื่อครอบคลุมการดูแลในเวลาปกติและในกรณีฉุกเฉิน

  • ระบบการส่งต่อและการสร้างเครือข่าย: มีระบบการส่งต่อผู้ป่วยในเครือข่ายระหว่างหน่วยบริการในระดับต่าง ๆ รวมถึงการส่งต่อข้อมูลด้านสุขภาพอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ

3.3 บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข

เพื่อให้การบริการปฐมภูมิมีคุณภาพและครอบคลุม โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลควรมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญหลากหลายสาขา ดังนี้:

  • พยาบาล/เจ้าหน้าที่สาธารณสุข: อัตราส่วน 1:1,250 คน (มีพยาบาลวิชาชีพ 1:4)

  • แพทย์: อัตราส่วน 1:10,000 คน หรือในบางพื้นที่สามารถใช้พยาบาลวิชาชีพแทนในอัตรา 2:1

  • ทันตแพทย์: อัตราส่วน 1:20,000 คน หรือใช้ทันตาภิบาลแทนในอัตรา 2:1

  • เภสัชกร: อัตราส่วน 1:15,000 คน หรือใช้เจ้าพนักงานเภสัชกรรมแทนในอัตรา 2:1

การจัดสรรบุคลากรอย่างเหมาะสมช่วยให้ประชาชนได้รับการดูแลสุขภาพที่มีประสิทธิภาพและทั่วถึงในทุกมิติของสุขภาพ


 

4. ระบบสนับสนุนที่สำคัญในระบบบริการปฐมภูมิ

ระบบบริการปฐมภูมิยังต้องการการสนับสนุนจากหลายภาคส่วน เพื่อให้สามารถจัดบริการด้านสุขภาพได้ครบถ้วนและตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ โดยมีระบบสนับสนุนที่สำคัญ ดังนี้:

  1. การพัฒนาทักษะบุคลากร: มีการจัดอบรมพัฒนาทักษะให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บุคลากรมีความรู้ความสามารถและทักษะที่เหมาะสมในการดูแลสุขภาพของประชาชน

  2. การสนับสนุนด้านการจัดหาทรัพยากร: มีการจัดสรรทรัพยากรที่จำเป็น เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์ ยา และสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อให้การบริการสุขภาพเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ

  3. การเชื่อมโยงกับชุมชน: มีการส่งเสริมให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบสุขภาพในพื้นที่ เช่น การร่วมมือกับชุมชนในโครงการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค การจัดกิจกรรมด้านสุขภาพในชุมชน เป็นต้น

  4. การใช้เทคโนโลยี: มีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลสุขภาพ เช่น การใช้ระบบข้อมูลสุขภาพ การติดตามผลการรักษา การสื่อสารกับชุมชนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ และการให้คำปรึกษาผ่านทางออนไลน์


 

5. ความสำคัญของระบบบริการปฐมภูมิในประเทศไทย

การจัดระบบบริการปฐมภูมิในลักษณะนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดการแออัดในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ แต่ยังช่วยให้ประชาชนได้รับการดูแลสุขภาพที่ครบถ้วนและเข้าถึงได้ง่ายในชุมชน นอกจากนี้ ระบบบริการปฐมภูมิยังมีความสำคัญในการป้องกันและลดการเกิดโรคภัยในระยะยาว ซึ่งเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสุขภาพของประชาชนในภาพรวม

ระบบบริการปฐมภูมิที่มีคุณภาพในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเป็นการพัฒนาระบบสุขภาพที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางและมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขในการดูแลสุขภาพของประชาชนในประเทศไทย

Recent Posts

See All

OSCE: Cervical Punch Biopsy

Introduction A cervical punch biopsy is a procedure used to obtain a small tissue sample from the cervix to investigate suspicious...

OSCE: Manual Vacuum Aspiration (MVA)

1. Introduction / บทนำ Manual Vacuum Aspiration (MVA) is a procedure used to evacuate the uterine contents by creating a vacuum inside...

OSCE: Leopold Maneuvers

1. Preparation and Patient Interaction Greet the Patient Introduce yourself (name and role). Confirm the patient’s name and gestational...

Comments

Rated 0 out of 5 stars.
No ratings yet

Add a rating
Post: Blog2_Post

Message for International Readers
Understanding My Medical Context in Thailand

By Uniqcret, M.D.
 

Dear readers,
 

My name is Uniqcret, which is my pen name used in all my medical writings. I am a Doctor of Medicine trained and currently practicing in Thailand, a developing country in Southeast Asia.
 

The medical training environment in Thailand is vastly different from that of Western countries. Our education system heavily emphasizes rote memorization—those who excel are often seen as "walking encyclopedias." Unfortunately, those who question, critically analyze, or solve problems efficiently may sometimes be overlooked, despite having exceptional clinical thinking skills.
 

One key difference is in patient access. In Thailand, patients can walk directly into tertiary care centers without going through a referral system or primary care gatekeeping. This creates an intense clinical workload for doctors and trainees alike. From the age of 20, I was already seeing real patients, performing procedures, and assisting in operations—not in simulations, but in live clinical situations. Long work hours, sometimes exceeding 48 hours without sleep, are considered normal for young doctors here.
 

Many of the insights I share are based on first-hand experiences, feedback from attending physicians, and real clinical practice. In our culture, teaching often involves intense feedback—what we call "โดนซอย" (being sliced). While this may seem harsh, it pushes us to grow stronger, think faster, and become more capable under pressure. You could say our motto is “no pain, no gain.”
 

Please be aware that while my articles may contain clinically accurate insights, they are not always suitable as direct references for academic papers, as some content is generated through AI support based on my knowledge and clinical exposure. If you wish to use the content for academic or clinical reference, I strongly recommend cross-verifying it with high-quality sources or databases. You may even copy sections of my articles into AI tools or search engines to find original sources for further reading.
 

I believe that my knowledge—built from real clinical experience in a high-intensity, under-resourced healthcare system—can offer valuable perspectives that are hard to find in textbooks. Whether you're a student, clinician, or educator, I hope my content adds insight and value to your journey.
 

With respect and solidarity,

Uniqcret, M.D.

Physician | Educator | Writer
Thailand

bottom of page